วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

ทรุด ไม่ทรุด!!! ความรู้เกี่ยวกับการลงเสาเข็มที่ถูกต้อง ควรทำอย่างไร

ลงเสาเข็มแบบไหน บ้านถึงจะอยู่กับเราไปอีกนานโดยไม่ต้องกังวล

        เชื่อว่าหลายท่านคงมีความเข้าใจว่า ถ้าจะต่อเติมขยายส่วนของบ้านออกไป แค่ตอกเสาเข็มลงไปก็สามารถรับน้ำหนักของอาคารได้แล้ว แต่ท่านเข้าใจอย่างถูกต้องหรือไม่ถึงความลึก ชนิดของเสาที่ใช้และขั้นตอนการตอกลงไป บางทีก็ถามเพื่อน หรือถามช่าง แต่คำตอบที่ได้ถูกต้องหรือเปล่า??!!! มาทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามหลักวิศวกรรมกันเถอะ


==========================================================

        ทำความเข้าใจถึงชั้นดินกันก่อน
        ดินมีหลายชั้น แต่แบ่งใหญ่ๆได้ 2 ชั้น คือชั้นดินอ่อน และชั้นดินแข็ง เสาเข็มของบ้านและอาคารมีความสำคัญมากๆ บ้านจะอยู่คงทนหรือไม่ขึ้นอยู่กับเสาเข็ม เสาเข็มจะต้องถูกตอกลงไปถึงชั้นดินแข็ง ซึ่งความลึกของชั้นดินแข็งก็ขึ้นอยู่กับสภาพแต่ละพื้นที่ ถ้าอยู่ใกล้ภูเขาชั้นดินแข็งก็อยู่ไม่ลึกมาก แต่กลับกัน ถ้าอยู่ใกล้แม่น้ำก็อาจอยู่ลึกลงไปอีกเพราะเป็นดินอ่อน ถ้าเป็นกรุงเทพฯ ปริมณฑล ความลึกจะอยู่ระหว่าง 17-23 เมตร


ขอขอบคุณภาพจาก SCG Experience Writer

       การทำงานของเสาเข็มคือช่วยรับน้ำหนักของตัวบ้านและอาคาร จะมีการรับน้ำหนักอยู่ 2 ส่วน
         1. ส่วนรอบๆเสาเข็ม คือ ดินที่หุ้มเสาเข็มอยู่จะมีแรงเสียดทานอยู่รอบๆเสา จะช่วยหนีบและอัดเสาให้แน่นอยู่กับที่และแข็งแรง แต่โอกาศที่จะทรุดตัวก็ยังมี จึงจำเป็นที่จะต้องมีตัวรับน้ำหนักอีกหนึ่งชั้นคือชั้นดินแข็งส่วนล่างเสาเข็ม
        2. ส่วนล่างเสาเข็ม คือชั้นดินแข็งที่รองรับน้ำหนักโดยตรง เป็นส่วนที่สำคัญมากๆ นี่คือเหตุผลที่ทำไมต้องตอกเสาเข็มให้ลึกถึงระดับนี้


ขอขอบคุณภาพจาก SCG Experience Writer

        พอท่านทราบถึงการทำงานของเสาเข็มและชั้นดินแล้ว เราจะนำมาใช้ในงานก่อสร้างของเรายังไง
        สรุปให้ท่านเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ให้ท่านตอกเสาเข็มลงไปให้ถึงชั้นดินแข็ง 17-23 เมตร การลงเสาเข็มเช่นนี้ บ้านหรือส่วนต่อเติมของท่านจะอยู่คงทนไม่มีทรุด เป็นการทำครั้งเดียวแต่ใช้ได้อีกนานไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมาซ่อมภายหลัง 

ขอขอบคุณภาพจาก คนทำบ้าน

        บางท่านเชื่อว่าการใช้เสาหกเหลี่ยมตอกโดยใช้คนขย่มลงไปหรือปั่นจั่นสามขา ตอกลงไปที่ความลึก 10 เมตรกว่าๆ (เสา3เมตร3ต้น) ก็พอแล้วสำหรับการต่อเติมครัวหรือห้องอื่นๆ ขอแจ้งว่าวิธีใช้คนขย่มลงไปนั้นไม่ไช่วิธีที่ถูกต้องเลย เพราะว่า การลงเสาเข็มนั้นข้อสำคัญข้อหนึ่งคือจะต้องตอกลงไปให้ได้ดิ่ง90องศา แต่โดยทั่วไปช่างจะใช้วิธีขุดดินลงไปก่อนและขย่มเสาลงไป การขุดดินไม่ถูกต้องเนื่องจากทำให้ค่าแรงเสียดทานรอบๆเสาหายไป บวกกับการขย่มลงไปโดยไม่ได้เช็คระยะแนวดิ่ง90องศา ทำให้เกิดค่าระยะหนีศูนย์ รวมกับความลึกของหลุมก็ไม่ถึงระดับชั้นดินแข็ง ด้วยประเด็นเหล่านี้จึงไม่แปลกเลยที่เจ้าของบ้านที่ต่อเติมลักษณะเช่นนี้ เพียงไม่กี่ปีก็จะเกิดรอยร้าวขึ้นบริเวณแนวต่ออาคาร การใช้เสาเข็มหกเหลี่ยมและใช้คนขย่มลงไปนั้น เหมาะกับการทำเสาเข็มรองรับแท็งน้ำ รองรับพื้นเทที่ต้องรับน้ำหนักหรือกำแพงบ้านมากกว่าใช้เป็นเสาเข็มรับน้ำหนักอาคาร 

ขอขอบคุณภาพจาก หจก.บีทีซี ไวร์เมช

        รอยต่ออาคารกับส่วนต่อเติมก็สำคัญ ควรแยกให้เป็นอิสระต่อกันและมีแผ่นโฟมกั้นรอยต่อเอาไว้เพื่อไม่ให้ 2 ส่วนยึดติดกัน และยาด้วยซิลิโคนอะคลิลิคแล้วทาสีทับ ทำไมถึงควรทำ ด้วยเหตุผลว่าสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้สร้างพร้อมกันย่อมแตกต่างกันด้วยโครงสร้างและวัสดุที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเกิดปัญหากับโครงสร้างด้านไดด้านหนึ่งไม่ควรจะดึงกันเนื่องจากจะทำให้เกิดความเสียหายทั้งคู่





ขอขอบคุณภาพจาก SCG Experience Writer
        
          หากท่านต้องการให้ส่วนต่อเติมบ้านหรืออาคารของท่านที่ต้องแบกรับน้ำหนักตัวอาคารแข็งแรงควรเลือกการลงเสาเข็มแบบ "ไมโครไพล์" 

ขอขอบคุณภาพจาก Siam Engineer

          เสาเข็มตอก ใช้เสาเข็มไมโครไพล์ (Micro Pile) ที่ต้องใช้ปั่นจั่นตอกลงไปให้ลึกถึงระดับชั้นดินแข็ง(ราคาอยู่ประมาณ หลุมละ 15,000-17,000) ใช้ในกรณีพื้นที่กว้าง ที่แรงสั่นสะเทือนไม่กระทบกับพื้นที่ข้างเคียง


          เสาเข็มเจาะ เป็นการเจาะลงไปใต้พื้นดิน และเทคอนกรีตลงไปในหลุมที่เจาะ ให้ขึ้นรูปเป็นเสาเข็ม เมื่อปูนก่อตัวแห้ง จึงมีหน้าที่แบกรับนํ้าหนักที่เป็นฐานรากของอาคารซึ่งขนาดและจำนวนแล้วแต่เงื่อนไขสภาพแวดล้อม  ใช้ในกรณีที่พื้นที่แคบและไม่ต้องการให้เกิดผลเสียต่อพื้นที่ข้างเคียง(กฎหมายบังคับ) เหมาะสำหรับ บ้านจัดสรร และแหล่งชุมชน

ขอขอบคุณภาพจาก CENTERPILETHAILAND

        เมื่อได้เสาเข็มเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงทำฐานรากและคานคอดินต่อไป (รายละเอียดจะอธิบายในตอนต่อไป)

==========================================================

        เมื่อท่านทราบถึงหลักทางวิศวกรรมเช่นนี้แล้วท่านก็คงจะพอทราบถึงแนวทาง ที่ท่านจะประเมินได้ว่าควรจะตกแต่งต่อเติมบ้านท่านแบบไหนให้บ้านอยู่กับท่านนานๆ บางทีเสียเงินครั้งเดียวแต่จบดีกว่าเสียน้อยแต่ต้องมาตามแก้ภายหลังและจบยากบานปลาย หากท่านมีข้อสงสัยเชิญปรึกษาเพิ่มเติมได้
ที่ http://www.facebook.com/thaimawee/ เรายินดีตอบทุกคำถามครับ

วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

ท่านเคยอยากลองปูกระเบื้องกันไหม??? ถ้าไช่!! มาดูวิธีลงมือทำที่ถูกต้องกันเลย!!!

  เทคนิคการ ปูกระเบื้อง อย่างถูกวิธี ตอนที่ 2


        อย่างที่กล่าวไปแล้วถึงการปูกระเบื้องรูปแบบต่างๆ ใน ตอนที่ 1( คลิกที่นี่ ) ในตอนนี้จะขอเผยวิธีการปูกระเบื้องในรูปแบบ การปูแบบแห้ง (ภาษาช่างเรียกว่า"การปูแบบขี้หนู" ) อย่างถูกวิธีโดยละเอียด ให้ท่านสามารถนำไปใช้ได้จริง

============================================================


        **หลายท่านอาจสงสัยว่าผสมปูนแบบแห้งนี้เมื่อปูนแห้งแล้วจะแข็งแรงไหม ตอบว่า แข็งแรงมากครับ การันตีโดยช่างคนไทยที่ปูกระเบื้องพื้นกว่า90% ใช้วิธีการปูแบบแห้งนี้ แต่!! กว่า50% ก็ปูผิดวิธีการ

        เทคนิคการปูกระเบื้องที่ถูกต้องและสวยงาม ด้วยวิธีการปูแบบแห้งมีวิธีการดังต่อไปนี้



          วัสดุและเครื่องมือที่เตรียม

              1.ปูนปอร์ตแลนท์(ปูนเขียว)


 

              2.ปูนกาว

              3.ทรายหยาบ
              4.ยาแนว
              5.ฟองน้ำ
              6.เกรียงสามเหลี่ยม
            

              7.ค้อนพลาสติก
             

              8.กากบาทพลาสติก (มีขายที่ Home Pro ถุงละ 30-50 บาท)
            

              9.สายเอ็น
           

             10.เต๊า
          

             11.ตะปูตอกคอนกรีต1นิ้ว 4-5ตัว
             12.สายยางวัดระดับน้ำ
         

             13.ปรอทน้ำ(ตัววัดระดับน้ำ)
         

             14.ดินสอหรือปากกาเมจิ

         เมื่อเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้ว มีขั้นตอนต่อไปดังนี้

               ขั้นตอนที่ 1 เช็คระดับความสูงของพื้นที่ ที่จะปูกระเบื้อง กะระดับ finishing ของกระเบื้องและทำเครื่องหมายไว้
               ขั้นตอนที่ 2 นำสายยางวัดระดับน้ำมาวัดระดับความสูง (เทคนิคการใช้สายยางวัดระดับน้ำอย่างละเอียด จะกล่าวในตอนต่อไป แต่ถ้ามีเครื่องยิงเลเซอร์จะใช้ตัวนี้แทนก็ได้ แต่เครื่องมีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ 0.5% แต่ถ้าเป็นลูกดิ่งหรือสายยางวิธีการโดยธรรมชาติอาศัยหลักแรงโน้มถ่วงจะมีความแม่นยำ100%) ที่ได้ทำเครื่องหมายไว้ วัดให้มีระดับเท่ากัน จากฝั่งนึงไปอีกฝั่งนึง ให้ผนังของห้องที่จะปูกระเบื้องมีระดับที่เท่ากันหมดทุกมุม และทำเครื่องหมายไว้ (ผนังหนึ่งผนัง ทำเครื่องหมายระยะไว้ที่มุมซ้ายและมุมขวา)
ขอขอบคุณภาพจากคุณ backhold


ขอขอบคุณภาพจากร้าน KTW

               ขั้นตอนที่ 3 นำเต๊ามาตีที่ผนังที่ได้ทำเครื่องหมายไว้ หนึ่งคนจับซ้าย หนึ่งคนจับขวาและดีดให้เกิดรอยที่ผนัง เพื่อให้เกิดเส้นระดับ ให้ทำรอบผนังที่มี แต่ถ้าบางด้านไม่มีผนัง ก็ให้วัดระดับใส่ไม้แบบที่ได้ตอกไว้กับพื้นปูน และขึงเส้นเอ็นเป็นแนวระดับแทน



               ขั้นตอนที่ 4 นำปูนปอร์ตแลนท์(ปูนเขียว)มาผสมกับทรายหยาบ ในอัตราส่วน ปูน1ส่วน ทรายหยาบ2ส่วน น้ำ1ส่วน โดยประมาณ ผสมให้เข้ากัน และนำน้ำมาราดพื้นให้เปียกรอบบริเวณที่จะปู
               ขั้นตอนที่ 5 นำปูนที่ได้ผสมแล้วไปเทลงบนพื้น ที่จะปู เทกองเอาไว้ (พื้นต้องเปียกน้ำเพื่อเพิ่มการประสาน) เป็นแนวยาว 1 แถว และนำกระเบื้องแผ่นแรกที่จะปูวางลงไป นำค้อนมาตอกกระเบื้องลงไปให้ได้ระดับตามที่ได้ตีเต๊าไว้ พร้อมกับนำปรอทน้ำมาวางเพื่อวัดระดับให้ตรง ทั้งแนวตั้งและแนวนอนของกระเบื้อง ให้ได้ระดับทุกมุม
               ขั้นตอนที่ 6 นำเกรียงยกกระเบื้องขึ้นมา(เอาออก) และเช็คดูปูนที่ได้เทและตอกไว้เพื่อดูว่ามีร่อง มีหลุม มีการยุบตัวของปูนหรือไม่ ถ้ามีให้เอาเกรียงตักปูนในถังมาปาดให้เต็มร่องนั้น

ดูขั้นตอนที่5-6ได้จาก คลิปวีดีโอนี้ เป็นการปูที่ถูกต้องตามแบบการปูแบบแห้ง
                   
ขอขอบคุณภาพจาก คุณ HMOOB STORYTELLING

               ขั้นตอนที่ 7 นำเกรียงตักปูนกาวที่ได้ผสมไว้แล้ว(ผสมกับน้ำธรรมดาไม่ควรให้เหลวจนเกินไป ควรผสมให้เหนียว) ปาดลงบนกระเบื้อง ให้เต็มแผ่นหนา0.5cm.
               ขั้นตอนที่ 8 นำมาวางบนปูนที่ได้เติมปูนอุดร่องไว้แล้วเมื่อซักครู่ แล้วจึงนำค้อนมาเคาะเบาๆให้ได้ตามระดับเต้าที่ตีไว้
               ขั้นตอนที่ 9 นำเอ็นมาขึงระดับด้านล่าง วางขนาดไปกับแนวกระเบื้องและเต้าที่ได้ตีไว้ ให้เสมอขอบ finish ของกระเบื้อง เพื่อเป็นการบอกแนวระดับในแผ่นต่อๆไป

               ขั้นตอนที่ 10 เริ่มปูแผ่นต่อๆไป โดยยึดระดับเต๊าและเอ็นที่ขึงไว้เป็นหลัก คั่นรอยต่อระหว่างกระเบื้องด้วยกากบาทพลาสติก เบอร์1.5mm หรือตามความชอบ (ช่างบางคนใช้สายรัดกล่องกระเบื้องมาคั่น แต่นั้นบางเกินไป และไม่ได้คั่นตรงมุมชน4มุม ทำให้ระยะมุมเกยกัน งานออกมาจึงไม่สวยเท่าที่ควร ) ก็จะได้แนวกระเบื้องที่เสมอกันและช่องไฟที่เท่ากันทุกแผ่น เมื่อปูหมดแถวแล้วจึงถอนเอ็นออก และเริ่มแถวใหม่เริ่มขั้นตอนที่ 5 ใหม่ ปูไปจนครบหมดทั่วพื้นที่

ขอขอบคุณภาพการเว้นร่องกระเบื้องจาก  sangwat.com


               ขั้นตอนที่ 11 เมื่อปูเสร็จแล้ว ให้ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วจึงยาแนวตามสีที่ต้องการ

================================================================

      การปูกระเบื้องไม่ยากเลยถ้าช่างเข้าใจและตั้งใจทำให้ถูกต้อง วันนี้ท่านได้ทราบถึงวิธีการแล้ว ถ้าอยากลองปูกระเบื้องเอง(แต่ผสมปูนเหนื่อยมาก)ลองทำดูตามนี้
รับรองท่านจะปูได้สวยงามแบบมืออาชีพเลยทีเดียวครับ
ดูสาระเพิ่มเติมได้ที่ http://www.facebook.com/thaimawee/

ท่านเคยอยากลองปูกระเบื้องกันไหม??? และถ้าคำตอบคืออยาก และจะปูอย่างไร???

        เทคนิคการ ปูกระเบื้อง อย่างถูกวิธี ตอนที่1      

        หลายท่านคงทราบดีแต่ว่าการ ปูกระเบื้อง ก็คือการปูลงบนปูนแค่นั้นไช่ไหมครับ แท้จริงแล้วเทคนิคการปูกระเบื้องนั้นสำคัญมากเลยทีเดียว ถ้าปูไม่ถูกวิธีหรือไม่มีความสามารถในการปู ไม่ช้านานกระเบื้องก็อาจจะร่อนหรือปริแตกเสียหายได้


========================================================

         มาดูประเภทของการปูกันก่อนครับ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ
     1. การปูแบบเปียก คือการผสมปูนตามปรกติคล้ายๆกับปูนก่อ คือนำปูนเขียว(ปูนปอร์ตแลนท์) มาผสมกับน้ำให้เหนียวในระดับหนึ่งและปูกระเบื้องทับลงไป  ข้อเสียของการปูแบบนี้คือ จะมีอากาศอยู่ภายใต้กระเบื้องเมื่อปูเสร็จแล้ว เพราะในขณะที่ปู ปูนยังไม่แข็งตัวในทันที เมื่อปูนแห้งแล้ว บวกกับช่างไล่อากาศไม่ดี โอกาสที่จะมีอากาศอยู่ภายใต้กระเบื้องจึงมีสูงมาก โอกาสที่กระเบื้องจะร่อนจึงมีสูง จึงเป็นที่มาของการปูในแบบต่อไป คือ "การปูแบบซาลาเปา"

ขอขอบคุณภาพจาก หจก.ปอร์การช่าง

     2. การปูแบบซาลาเปา ใช้ปูนแบบเดียวกับการปูแบบเปียก แต่ต่างกันตรงที่ การปูแบบนี้จะนำปูนมาวางใต้แผ่นกระเบื้องเป็นทรงกลม คล้ายซาลาเปา แล้วจึงคว่ำและกดทับลงไป การปูแบบนี้จะเป็นการกดกระจายน้ำหนักออกไป อากาศจะไม่อยู่ตรงกลางแผ่นแต่จะไปอยู่ตรงขอบแผ่นแทน การปูแบบนี้ โอกาสร่อนมีสูงกว่าทุกๆแบบ เนื่องจากปูนไม่ถูกกระจายออกไปทั่วแผ่นเหลือไว้แต่กลางแผ่น


ขอขอบคุณภาพจาก SCG Experience

     3. การปูด้วยปูนกาว เป็นการปูที่ดีที่สุดเพราะปูนมีคุณสมบัติเกาะยึดสูง แต่จะใช้ได้ดีเฉพาะกระเบื้องผนังและกระเบื้องพื้นที่พื้นเดิมเป็นปูนซีเมนต์เท่านั้น เพราะไม่สามารถทำความสูงของพื้นที่จะปูได้ ความสูงทำได้ไม่เกิน 2cm.เท่านั้น การจะปูพื้นให้ได้ความสูง 5-10cm.จึงต้องทำการเทพื้นก่อน ซึ่งเป็นการเสียเวลาและสิ้นเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์ จึงไม่เหมาะกับการนำมาปูพื้นที่ต้องการความสูงมากๆ จึงมีการดัดแปลงการปูกระเบื้องมาเป็นแบบสุดท้าย คือ "การปูแบบแห้ง" หรือที่ช่างเรียกว่า "การปูแบบขี้หนู"


ขอขอบคุณภาพจาก นายซอกแซก

     4. การปูแบบแห้ง เป็นการประยุกต์การปูกระเบื้องด้วยปูนปอร์ตแลนท์กับซีเมนท์กาว(ปูนกาว)ไว้ด้วยกัน ลดข้อเสียของการปูแบบเปียกเรื่องการแห้งตัวแล้วเกิดฟองอากาศใต้กระเบื้องทำให้ร่อน และ ความสูงของระดับพื้นกระเบื้องรวมถึงความสิ้นเปลืองของปูนกาวที่แพงกว่ามาก การปูด้วยวิธีนี้สามารถปูให้สูงได้ถึง15cm.โดยไม่ต้องเทพื้นก่อน (พื้นล่างควรเป็นคอนกรีต และต้องการยกระดับความสูง ใช้กับระดับดินเดิมหรือพื้นทรายไม่ได้ กรณีนั้น ยังไงก็ต้องเทพื้นก่อนอยู่ดีครับ เทพื้นคลิกที่นี่) เหนียวแข็งแรง และแห้งไว แต่ต้องผสมปูนให้ถูกวิธี การปูแบบแห้งนี้เหมาะกับพื้นแกรนิตโต้และพื้นอื่นๆ เป็นวิธีการปูกระเบื้อง ที่ผมขอแนะนำ ส่วนเครื่องมือและวิธีการปูนั้นผมจะกล่าวใน ตอนที่ 2


ขอขอบคุณภาพจาก คุณ  supalerg 108diymyhome
           
===================================================================

        ทีนี้ท่านคงทราบถึงวิธีการปูกระเบื้องในแต่ละวิธีไปแล้ว ทั้งข้อจำกัดและผลเสียของแต่ละวิธี ถ้าท่านอยากลงมือทำเอง ให้ติดตามต่อได้ในตอนที่2 (คลิกที่นี่ )แต่ถ้าท่านเรียกช่างมาทำให้ ท่านควรพูดคุยทำความเข้าใจกันให้ดี ก่อนที่ช่างจะลงมือทำนะครับ ท่านจะได้ไม่ต้องมาปวดหัวกับการแก้งาน ที่เสียทั้งเวลาและสิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่จำเป็น ควรทำให้ดีให้ถูกทำแค่ครั้งเดียว ให้จบครับ
ติดตามสาระประโยชน์เพิ่มเติมได้ที่
http://www.facebook.com/thaimawee/


วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

ต่อเติมบ้าน ตกแต่งบ้าน ราคาถูกที่สุด ทำยังไง????

ต่อเติมบ้าน หาช่างทำบ้าน ต้นทุน ถูกที่สุด ???

        ท่านจะตกแต่งต่อเติมบ้านอย่างไรให้ถูกที่สุด วันนี้เรามีคำตอบให้แก่ท่าน ให้ท่านเลือกและพิจารณาตามความเหมาะสมได้เลย พร้อมแล้วไปดูกันเลย!!!

===============================================================

        หากท่านต้องการตกแต่งต่อเติมบ้าน ท่านจะมีตัวเลือกอยู่3ตัวเลือก ที่ท่านต้องคิดในใจ คือ
    1. หาผู้รับเหมา ทั้งของทั้งแรง ตัวเลือกนี้ท่านต้องจ่ายแพงที่สุดใน3ตัวเลือก (ถึงแม้จะเป็นราคากลาง) เหมาะสำหรับท่านเจ้าของบ้านที่ไม่ค่อยมีเวลา และต้องการตัดภาระทั้งหมดให้ผู้รับเหมา ถ้าท่านไม่ค่อยมีเวลาท่านก็ควรเลือกตัวเลือกนี้
    2. หาช่างเหมา เฉพาะค่าแรง ตัวเลือกนี้ท่านต้องมีเวลาซักนิดในการเลือกหาซื้อวัสดุมาให้ช่างได้ทำ ข้อดีคือ ท่านจะจ่ายได้ถูกกว่าตัวเลือกแรก และที่สำคัญ ท่านจะได้วัสดุที่ดีที่สุดเพราะท่านได้เลือกหาซื้อเอง (ราคากลางจ้างช่าง ดูที่นี่) ถ้าให้ช่างเหมาวัสดุด้วย แน่นอนช่างต้องประหยัดต้นทุนเค้าแน่นอน ท่านอาจได้วัสดุที่ไม่ดีที่สุด
    3. หาช่าง ค่าแรงรายวัน เป็นวิธีที่ท่านจะต่อเติมและทำบ้านได้ถูกที่สุดเสมือนท่านเป็นผู้รับเหมาเอง ท่านจะตัดส่วนกำไรของผู้รับเหมาทิ้งออกไปหมด เหลือเพียงแค่ต้นทุน ปัญหาคือ ท่านจะหาช่างเหล่านี้จากไหน และเป็นช่างเฉพาะจริงๆ ไม่ไช่เอากรรมกรมาเป็นช่าง คำตอบคือ ให้ท่านหาช่างจาก "กีบหมู" กีบหมูเป็นศูนย์รวมของช่างก่อสร้าง แขนงต่างๆ ช่างปูน ช่างเชื่อมเหล็ก ช่างโครงสร้าง ช่างปูกระเบื้องและกรรมกรแบกหาม แต่ท่านต้องดูให้ดีไม่งั้นนอกจากท่านจะหาช่างไม่ได้แล้ว ท่านจะได้กรรมกรไปแทน ตลาดกีบหมู ตั้งอยู่ ซอยสุเหร่าคลองหนึ่ง ระหว่างถนนปัญญารามอินทราและถนนหทัยราษฏร์ พิกัด GPS( 13?50'28.7"N 100?42'04.7"E ) โดยค่าแรงของที่นี่จะมีอัตราเดียวกัน 600-800บาท/วัน #ถือว่าแพงกว่าค่าแรงขั้นต่ำมากแต่ก็ยังถูกกว่าให้ผู้รับเหมามาทำอยู่ดี โดยมีอัตราดังนี้ กรรมกรแบกหาม600 ช่างไม้ช่างปูน700 ช่างปูกระเบื้อง800 ช่างปูนคู่1,100(ผสมปูน1คน งานปูน1คน เหมาะกับงานฉาบและงานเท) ขั้นตอนการจ้างช่างเหล่านี้ คือให้ไปติดต่อเลือกแต่เช้า 6โมงเช้า ช่างจะมายืนอยู่เต็มซอย(ช่างขยันจะตื่นแต่เช้า ตี5 เพื่อออกหางานทำ แต่ถ้าไปหาช่างช้ากว่าเวลานี้ ช่างดีๆจะถูกผู้รับเหมาเลือกไปทำงานหมด เหลือไว้แต่กรรมกร!! และช่างขี้เมา!! ) ให้ไปหาที่ซอย3ในซอย ห้ามเลือกที่ยื่นอยู่ข้างถนน เพราะนั่นคือ "กรรมกร" ช่างจะถูกแบ่งเป็นโซนๆ บริเวณซอย3ข้างตลาด สังเกตุง่ายๆ ช่างที่ถือสามเหลี่ยมฉาบปูนคือช่างปูน ให้ไปก่ออิฐและฉาบปูนได้ ช่างที่สะพายย่ามและแขวนค้อนไว้ที่เอว คือช่างไม้และช่างโครงสร้าง ช่างที่ถือแท่นตัดกระเบื้องคือช่างปูกระเบื้อง นอกนั้นคือช่างทั่วไป แต่ท่านต้องสอบถามให้แน่ใจอีกทีนะครับ วิธีนี้ควรเป็นการต่อเติมบ้านเท่านั้น ท่านอาจไปหาแค่ในวันแรกเท่านั้น ถ้างานหลายวัน 5-10วัน ในวันต่อๆไปท่านก็นัดและ ให้เค้านั่งแท็กซี่มาเองโดยท่านต้องให้ค่ารถไป-กลับกับเค้าไม่งั้นท่านก็จะเสียเวลาไปรับและไปส่งเค้า ผู้รับเหมาหลายรายที่ขาดช่าง ส่วนใหญ่ก็ไปรับจากที่นี่ แต่ยังไงท่านก็จ่ายถูกกว่าเหมาช่างอยู่ดี



ขอขอบคุณภาพจาก ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์

       ตัวอย่าง 
    สมมุติว่าท่านต้องการปูกระเบื้องที่บ้าน 4x8เมตร ถ้าจ้างเหมาค่าแรง (ดูราคากลางที่นี่) แพงสุดตารางเมตรละ 220 ท่านต้องจ่าย 7,040 บาท
    แต่ถ้าท่านใช้บริการช่างที่นี่ ในวันแรก (เตรียมพื้นที่ให้พร้อม เมื่อช่างมาถึง สามารถลงงานได้เลยจะได้งานเสร็จภายใน1วัน) พื้นที่ 32ตารางเมตร ช่าง1คนไม่สามารถปูเสร็จได้ใน1วัน ต้องใช้ช่าง2คน(800x2) รวมกรรมกรผสมปูน1คน(600) รวม3คน
   วันที่1(800x2)+600=2,200 บาท รวมค่ารถ ไปกลับ 400 เท่ากับ 2,600 บาท (เป็นการปูแบบแห้ง หนา10cm.ไม่ต้องเทพื้น ปูได้เลย)
   วันที่2 ยาแนว ให้ช่างมาแค่1คน 800 รวมค่ารถไปกลับ 400 เท่ากับ 1,200 บาท
   รวม 2 วัน งานเสร็จ ท่านจ่ายเพียง 3,800 บาทเท่านั้น ประหยัดไป 3,240 บาท แต่ถ้างานมีมากกว่านี้ ท่านก็จะประหยักกว่านี้

 =====================================================================

        นี่เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่จะช่วยท่านให้ประหยัดค่าช่างในการต่อเติมบ้านได้ แต่ที่สำคัญท่านก็ควรดูงานเป็นบางส่วนเพื่อให้บ้านของท่านสวยงามคงทนอยู่กับท่านไปได้อีกนาน ท่านสามารถรับชมสาระความรู้เกี่ยวกับบ้านเพิ่มเติมได้อีกที่ http://www.facebook.com/thaimawee/


วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

บันทึกเก็บไว้เลย!!! ข้อมูลนี้มีประโยชน์ต่อท่านมาก


บันทึกเก็บไว้เลย!!!  ข้อมูลนี้มีประโยชน์ต่อท่านมาก ถ้าท่านอยากทำบ้านถูกและดี !!! 
ถ้ารู้ ท่านจะมีความรู้ไว้ต่อรองเจรจาได้

        เราขอแจ้งข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อท่านเป็นอย่างมาก และท่านจะได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลนี้ประกอบการตัดสินใจได้ นั่นคือ " ราคากลางการก่อสร้าง " ถ้าท่านไม่มีเข็มทิศท่านก็ไปลำบาก
เช่นกัน ถ้าท่านไม่ใช้ข้อมูลนี้ท่านก็อาจ " จ่ายแพง "

=====================================================

      ราคากลางแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ ราคาเหมาเฉพาะค่าแรง และ ราคาเหมารวมของด้วย ขอแจ้งเฉพาะราคาเหมาค่าแรงและแนะนำให้ท่านไปเลือกซื้อของเอง
ให้ร้านมาส่งให้ ถามช่างว่าจะใช้อะไรบ้างจำนวนเท่าไหร่ เพราะท่านจะได้ของดี ถูกใจ ตามต้องการและท่านจะทำบ้านได้ถูกลง แต่ถ้าท่านไม่มีเวลาก็ข้ามไปครับ



      ราคาเหมาเฉพาะค่าแรง มีราคากลางดังนี้ (***ณ กันยายน 2560) ราคากรุงเทพฯและปริมลฑล
          - งานก่อ(อิฐมวลเบา อิฐมอญ+20/ตรม.)และฉาบผนัง 160 บาท/ตารางเมตร
            ไม่รวมหล่อเสาเอ็น หล่อคานทับหลังและจับเซี้ยม แต่ถ้ารวมก็260/ตารางเมตร
          - งานปูกระเบื้อง 180-220 บาท/ตารางเมตร ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของกระเบื้อง
          - งานเทพื้น 150 บาท/ตารางเมตร ถ้ามากกว่า 100 ตารางเมตร ราคาจะค่อยๆปลับลง
          - งานทาสี 40-60 บาท/ตารางเมตร ขึ้นกับความยากง่ายของงานและความสูงของอาคาร
          - งานเชื่อมเหล็กมุงหลังคา รวมทาสีกันสนิม รวมตั้งเสาสูงไม่เกิน 5 เมตรชั้น รวมมุงหลังคา
             จบทุกอย่างยกเว้นรางน้ำฝน 400-500/ตารางเมตร
             ถ้างานใหญ่ บางที่คิดราคาเชื่อมเหล็กโครงหลังคารวมทำสี 10 บาท/กิโลกรัม
          - งานเชื่อมเหล็กทั่วไปรวมทาสีกันสนิม 150บาท/ตารางเมตร
          - งานฐานรากฟุตติ้งๆละ 2,000 เทคาน หล่อเสา เมตรละ 600 บาท อุปกรณ์ของช่างหมด
             นั่งร้านและไม้แบบ
          - งานตอกเสาเข็มหกเหลี่ยม ค่าแรงกด 60 บาท / เมตรไม่ว่าแรงคนหรือรถกด
          - งานตอกเสาเข็มไมโครไพล์ หลุมละ16,000 - 18,000 บาท *รวมค่าเสาด้วย
             (ขึ้นอยู่กับสภาวะหน้างานและขนาดด้วย)
          - งานหล่อเทเคาร์เตอร์ครัว 1,000 / เมตร ไม่รวมกระเบื้อง
          - งานประปาจุดละ 100 บาท เดินท่อเมตรละ 100 งานเล็กควรจะเป็นราคาเหมา
             (งานฝังในดินถ้าเป็นฝังในปูนต้องบวกค่าสกัดคอนกรีตต่างหาก)
          - งานไฟฟ้า 150-250 บาท / จุด (จากสวิทย์ไปโคม สายไฟไม่เกิน5เมตร เกินกว่านั้น
             100 บาท/เมตร ) ขึ้นกับจำนวนงาน งานมากจะถูกลง
            (1 จุด คือ ต่อ1สวิทย์ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น สวิทย์เปิดไฟ1สวิทย์ไปยังดาวน์ไลท์4ตัว
             คือ 5จุด และถ้ามีสวิทย์ตัวเมียก็จะเพิ่มอีก1จุด รวม6จุด)
 
======================================================

      และนี่คือราคากลางที่เหมาะสมและเป็นธรรม ทั้งต่อท่านและผู้รับเหมา ส่วนราคาเหมาทั้งของและแรง ผมยังไม่แนะนำถ้าไม่มีBOQเพราะท่านจะได้วัสดุที่ไร้คุณภาพ ถ้าท่านไม่เจอผู้รับเหมาที่ซื้อตรง
และมีสปิริตวิชาชีพ (BOQ คืออะไร คลิกที่นี่) (หาผู้รับเหมาอย่างไร คลิกที่นี่ )
ท่านสามารถรับข่าวสารความรู้เพิ่มเติมได้อีกที่ http://www.facebook.com/thaimawee/
ขอให้ท่านมีความสุขกับการแต่งบ้านนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2560

ทำอย่างไร ให้มีรายได้เพิ่ม 50,000-100,000 บาท ง่ายๆ !!! มาหาเพิ่มจากเราครับ....

        ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในปัจจุบัน "การมีรายได้หลักจากทางเดียวถือว่าเสี่ยงและอันตรายมาก " เพราะว่าคุณจะไม่มีความมั่นคงในการเงินเลย ทำอย่างไรก็ได้ให้คุณ มีเงินก้อน ไว้ใช้จ่าย ในยามฉุกเฉิน และมีเงินเก็บไว้ให้เป็นทุนแก่ลูกหลานและครอบครัว การหา รายได้เสริม หาเงินเพิ่ม จึงเป็นสิ่งจำเป็นครับ หรือหากคุณมีเงินเก็บแล้วคุณก็สามารถหารายได้เพิ่มเติมจากเดิมได้ ให้มีเงินเก็บมากกว่าเก่า      ไช่ไหมครับ???

=========================================================
        เป็นอีกครั้งที่เราเปิดรับตัวแทนหรือนายหน้า ให้คุณสามารถหาเงินเพิ่มได้ง่ายมากๆๆๆ ไม่ต้องลงทุนหรือเสียเงินใดๆเลย แค่คุณมีคนรู้จักที่ต้องการตกแต่งบ้าน ไม่ว่าภายในหรือภายนอก คุณแนะนำเรามา เราได้ตกแต่งบ้านให้ คุณรับส่วนแบ่งไปเลย 6% ง่ายๆ โดยเราแบ่งจ่ายให้คุณตามงวดงาน ดังนี้
        คุณแนะนำ ลูกค้ามาตกแต่งภายในที่พักอาศัย อาคาร โรงแรม อื่นๆ มูลค่างาน 1,000,000 บาท
        คุณได้ส่วนแบ่ง 60,000 บาท เราทำสัญญากับเจ้าของอาคาร แบ่งจ่าย 4 งวด
                งวดที่แรก วันทำสัญญา เราเบิก 25%  250,000 x 6% = 15,0000
                งวดที่ 2 เราเบิก 30%  300,000 x 6% = 18,0000
                งวดที่ 3 เราเบิก 30%  300,000 x 6% = 18,0000
                งวดที่สุดท้าย เราเบิก 15%  150,000 x 6% = 9,0000
        เราจ่ายส่วนแบ่งให้คุณทุกๆงวดงาน เราเบิกงวดงาน คุณได้ส่วนแบ่ง 

        เห็นไหมครับ ง่ายมากๆ แค่นี้คุณก็มีเงินเพิ่ม และ ผมขอแนะนำว่า "ให้คุณทำควบคู่ไปกับงานประจำที่คุณทำอยู่ " แรกๆ คุณอาจหาจากคนรู้จัก ต่อๆไปคุณอาจหาจากทางช่องทางอื่นๆ ที่คุณถนัด หรือแค่คุณโพสหรือแชร์เว็บหรือเพจเรา ให้คุณมีความน่าเชื่อถือ หรือจากช่องทางอื่นๆที่คุณถนัด คุณก็จะมีรายได้เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีเงินเก็บ ใช้จ่ายคล่องตัว "เราจะขอทำงานให้คุณเสมือนคุณคือนายจ้างหางานให้เรา "

       


คุณ สมฤดี อภัยเวศชยกุล " ฉันได้แนะนำบ้านเจ้านายให้เค้าทำ ฉันแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ก็รับส่วนแบ่งแบบสบายๆ ตอนนี้ฉันเริ่มหาช่องทางใหม่ แนะนำลูกค้าให้เค้าแล้ว"



คุณ เบญจพร แสวงจันทร์ " ร้านขนมที่ฉันทำก็มีรายได้ดีอยู่แล้ว แต่ฉันก็อยากมีรายได้เพิ่มเติม ฉันจึงแนะนำให้มาตกแต่งร้านเพื่อนของฉัน ฉันรับไป เกือบ8หมื่นบาท ก็ดีค่ะ อยู่เฉยๆก็ได้เงิน "


คุณ สุริยา สว่างเนตร " ผมเป็นผู้รับเหมาต่อเติม ผมรู้จักลูกค้ามากมาย ผมจึงแนะนำให้เค้ามาตกแต่งภายในบ้านที่ผมกำลังทำอยู่ ผมสบายเลยไม่ต้องหาลูกค้าใหม่ แค่แนะนำลูกค้าปัจจุบันของผมให้เค้า แค่นี้ผมก็ได้เงิน ผมคิดใหม่ว่าผมจะหาให้เค้ามากกว่านี้ ผมจะได้มีเงินเพิ่มขึ้นมากๆ "


 ========================================================

      โอกาศนี้คุณควรเก็บไว้ เพราะไม่มีอะไรหาเงินง่ายเท่านี้แล้ว คุณแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แค่คุณรู้จักลูกค้าและแจ้งเรา เราจะประสานปิดการขายให้คุณแทน แต่ถ้าหากคุณอยากจะมีรายได้เพิ่มมากกว่านี้คุณก็แค่ขายตามวิธีที่คุณคิดว่าขายได้ แค่นั้นครับ 
        รออะไรอยู่ครับ หาเงินใช้กันเลย inbox หาเรา ที่นี่  หรือแอดไลน์ ID : sarut2525

วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

เทพื้นคอนกรีต ใช้งบเท่าไหร่ ????

ราจะรู้ได้อย่างไร?? หากเราจะ เทพื้นคอนกรีต ลานบ้านหรือต่อเติม จะใช้งบเท่าไหร่???

=========================================

     หากท่านต้องการจะเทพื้นคอนกรีต พื้นลานบ้าน ลานเอนกประสงค์ จะใช้งบเท่าไหร่??
เราจะทราบ ราคาเทพื้นคอนกรีต ได้อย่างไร คำนวณได้ดั่งขั้นตอนดั่งต่อไปนี้
   1. ท่านต้องทราบ ขนาด กว้างxยาว ที่ท่านต้องการ(เมตร)และความสูงในการเท(เมตร)
   2. นำขนาดมาคำนวณ ดังนี้
       กว้าง 4 เมตร ยาว 8 เมตร สูงจากดินเดิม 0.15 เมตร(15เซนติเมตร)
       นำไปคูณกัน 4x8x0.15= 4.8 คิว
       ราคาคอนกรีตผสมเสร็จ(แบรนด์ซีแพค) รถใหญ่ผสมน้ำยากันซึม
      (ในกรณีพื้นภายในอาคาร+100ต่อคิว)
        คิวละ 2,800/คิว (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงตามขนาดรถและยี่ห้อของปูนซีเมนต์ ) เช่น
                -SCG(ซีแพค) 2,800/คิว
                -TPI 2,300/คิว
                -อินทรี 2,200 /คิว
                -น่ำเฮง 2,000 /คิว  เป็นต้น
        นี่เป็นราคาโดยประมาณซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะต่างๆ
        สมมุติว่าเลือกของ SCGซีแพค 4.8x2,800=13,440 บาท
   3.นำไปรวมกับราคาค่าแรงช่าง ตารางเมตรละ 150 บาท  = 4,800 บาท
   4. ราคาวายเมช(เหล็กเส้นที่ถูกประสานกันเป็นตาข่ายใช้ประสานเป็นแกนกลางภายในคอนกรีต)
       ต้องปูก่อนเทคอนกรีตขนาด 6mm.@20Cm.(@=ระยะห่างระหว่างเส้น) 52บาท/ตารางเมตร        เท่ากับ1,664 บาท
       รวม 13,440+4,800+1,664=19,904 บาท
       สรุป ถ้าคุณต้องการเทพื้นคอนกรีตผสมเสร็จขนาด4x8เมตร สูง15เซนติเมตร คุณต้องใช้เงินจำนวน 19,904 บาท 
โดยราคาประมาณ อาจขึ้นลงได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น





===========================================

   ถึงตอนนี้ท่านคงทราบถึงงบประมาณที่ต้องเตรียมในการเทพื้นแล้ว ส่วนคอนกรีตสำเร็จ กับคอนกรีตผสมเอง เทเอง ต่างกัน มีข้อแตกต่าง ข้อดีข้อเสีย อย่างไร จะได้กล่าวในตอนต่อไปครับ
ติดตามสาระความรู้ใหม่ๆได้อีกช่องทาง http://www.facebook.com/thaimawee/